วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ล้างข้อมูลแบบเข้ารหัสด้วยทูลของ Windows 7

ผู้ใช้ Windows ส่วนใหญ่ยังไม่ทราบว่า Windows นั้นมีทูลอยู่ตัวหนึ่งที่ทำงานแบบ DOS Command ที่ชื่อ Ciper.exe จริงๆ แล้วทูลตัวนี้ก็ไม่ได้เป็นของใหม่ แต่มีมากับ Windows ตั้งแต่ Windows 2000 , XP . Vista และล่าสุด Windows 7 ถามว่าแล้วเอาไว้ทำอะไรได้บ้าง ก็เอาไว้ใช้เข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูล (Encryption & Decrypts) ข้อมูลต่างๆ ได้ แต่ต้องอยู่บนพาร์ติชันของฮาร์ดิสก์ที่เป็น NTFS นอกจากเข้ารหัสป้องกันข้อมูล แล้วก็ยังใช้ล้างข้อมูลแบบเข้ารหัสได้ด้วย

ในบทความนี้ จะมาแนะให้ใช้ Cipher ให้ทำการล้างขัอมูลแบบเข้ารหัส คือไม่ให้มีการกู้ข้อมูลได้นั้นเอง โดย Cipher จะเขียนข้อมูลทับข้อมูลเก่าแบบสุ่มสลับไปมาด้วยรหัสบิต 01 01 วิธีการใช้ก็มีดังนี้

1. พิมพ์ cmd ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Ctrl + Shift + Enter เพื่อเปิด หน้าต่าง Command Prompt ด้วยสิทธิ์ Administrator

2.เมื่ออยู่ที่ Command Prompt ให้ใช้คำสั่งดังนี้ (ตัวอย่าง จะล้างข้อมูลที่ไดรฟ์ D โฟลเดอร์ Test)

cipher /w:d:\test

cipher_01

3.รอครับ จะนานสักหน่อย เพราะ Cipher ต้องเขียนรหัสสุ่มทับข้อมูลเก่า ไม่ได้ลบแบบธรรมดาทั่วไป

หมายเหตุ ถ้าคุณอยากรู้ว่าเจ้า Cipher ทำอะไรได้บ้าง ให้คุณพิมพ์ cipher /? จะมีรายละเอียด พารามิเตอร์ที่ใช้กับ Cipher มาให้อ่าน…ลองดูนะครับอาจนำเอาไปใช้ประโยชน์ได้ ไม่ต้องไปพึ่งโปรแกรมสำเร็จรูปด้านนี้ให้มากนัก เพราะ Windows 7 ก็มีอยู่แล้ว แต่เราไม่รู้เอง และที่สำคัญศึกษาให้ดีก็นะครับว่า คำสั่งใช้อย่างไรและทำอะไรได้ เพราะมันเกี่ยวพันธ์กับข้อมูลที่สำคัญของคุณ เพื่อป้องกันความผิดผลาด

cipher /?

CIPHER [/E | /D] [/S:dir] [/A] [/I] [/F] [/Q] [/H] [/K] [pathname [...]]

CIPHER /W:directory

CIPHER /X[:efsfile] [filename]

/E = Encrypts the specified directories. Directories will be marked so that files added afterward will be encrypted.

/D = Decrypts the specified directories. Directories will be marked so that files added afterward will not be encrypted.

/S = Performs the specified operation on directories in the given directory and all subdirectories.

/A = Operation for files as well as directories. The encrypted file could become decrypted when it is modified if the parent directory is not encrypted. It is recommended that you encrypt the file and the parent directory.

/I = Continues performing the specified operation even after errors have occurred. By default, CIPHER stops when an error is encountered.

/F = Forces the encryption operation on all specified objects, even those that are already encrypted. Already-encrypted objects are skipped by default.

/Q = Reports only the most essential information.

/H = Displays files with the hidden or system attributes. These files are omitted by default.

/K = Create new file encryption key for the user running CIPHER. If this option is chosen, all the other options will be ignored.

/W = Removes data from available unused disk space on the entire volume. If this option is chosen, all other options are ignored.The directory specified can be anywhere in a local volume. If it is a mount point or points to a directory in another volume, the data on that volume will be removed.

/X = Backup EFS certificate and keys into file filename. If efsfile is provided, the current user’s certificate(s) used to encrypt the file will be backed up. Otherwise, the user’s current EFS certificate and keys will be backed up.

dir = A directory path.

pathname = Specifies a pattern, file or directory.

efsfile = An encrypted file path.

ปรับแต่ง Windows 7 ให้เบาเครื่องวิ่งฉิ่วดังใจ (ตอนที่ 2)

Windows 7 มีประสิทธิภาพมากขึ้น”

ทำอย่างไรให้ Windows 7 มีประสิทธิภาพมากขึ้น

เมื่อตอนที่แล้วผมจะกล่าวถึงการเปิดปิดวินโดวส์ให้รวด เร็วขึ้น คุณๆ อ่านแล้วทำตามหรือยังครับ คราวนี้จะมาเน้นด้านประสิทธิภาพโดยรวมหรือที่เรียกว่า Performance ใน การที่จะทำให้ Performance ของ Windows 7 เพิ่มขึ้นนั้นมีอยู่หลายจุด ถ้าคุณๆ ทำครบทุกจุด ตามที่จะกล่าวต่อไปนี้ ผมรับรองเครื่องคุณจะเบาหวิว การทำงานจะรวดเร็ว เพราะคุณได้ปิดจุดที่ขัดขวางการทำงานของ Windows 7 ให้เหลือน้อยที่สุด

ยกเลิก Services ที่ไม่จำเป็น

ส่วนสำคัญของ Windows 7 ที่ทำให้ Windows 7 มีฟีเจอร์หลากหลาย ลูกเล่นมากมายก็คือบรรดา Services ต่างๆ ที่ Windows 7 เปิดทำงานอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ Services ทุกตัวที่ผู้ใช้ได้ใช้ประโยชน์ มีอยู่หลาย Services ที่เปิดทำงาน แต่ไม่มีการใช้งานเลย ทำให้ Performance โดยรวมของ Windows 7 ลดน้อยลง

  1. พิมพ์ services.msc ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter
  2. ที่หน้าต่าง Services จะเห็นรายการ Services ทั้งหมดของ Windows 7 ทางหน้าต่างด้านขวามือ ถ้าต้องการทราบรายละเอียดของ Services ตัวไหนก็ให้คลิกที่ Services ตัวนั้น จะมีรายละเอียดให้อ่านทางกลางของหน้าต่าง
  3. ให้ดับเบิลคลิกที่ Services ที่ต้องการยกเลิกหรือคลิกขวาที่ Services เลือกคำสั่ง Properties
    image
  4. ที่หน้าต่าง Properties ของ Services คลิกที่ Drop Down Menu หลังรายการ Startup Type: ให้เลือก Disabled
    image
  5. คลิกปุ่ม Start ที่ใต้รายการ Service status: แล้วคลิกปุ่ม OK เท่านี้คุณก็ยกเลิก Servicesที่ไม่ต้องการได้แล้ว

Services ที่ยกเลิกได้

Services ตามรายการข้างล่างนี้ เป็น Services ส่วนน้อยของ Windows 7 ที่ทดสอบแล้วว่าสามารถยกเลิกได้ โดยจะทำให้ใช้ฟีเจอร์บางตัวไม่ได้ แต่จะทำให้การทำงานโดยรวมลื่นไหลมากขึ้น คุณลองพิจารณาดูว่าตัวไหนที่สมควรยกเลิก ก็เลือกเอาตามความเหมาะสมของเครื่องคุณ

  • Application Experience
    ทำหน้าที่ตรวจสอบและซ่อมแซ่มโปรแกรมที่มีปัญหาของ Windows 7
  • Computer Browser
    เป็นตัวช่วยในการอัปเดทของ Browser
  • Error Reporting Service
    ทำหน้าที่ส่งข้อมูลหรือรายงานให้ไมโครซอฟท์ทราบเวลาเครื่อง Error
  • Desktop Window Manager Session Manager
    ดูแลจัดการ Themes,Background ของ Windows 7
  • Diagnostic Policy Service
    วิเคราะห์และช่วยตรวจสอบปัญหาของ Services และ Components ต่างๆ ของ Windows.
  • IP Helper
    ทำให้เครื่องซัพพอร์ท IPv6 ซึ่งเป็นการเชื่อมต่อเครือข่ายกับ ISP แต่ปัจจุบันมีน้อยมากที่ใช้
  • IPv6IPsec Policy Agent
    เป็น Service ที่ IPS จะต้องการใช้เพื่อเพื่อความปลอดภัยในการติดต่อกันระหว่าง ISP กับเครื่องของลูกค้า
  • Offline Files
    ทำให้ใช้ Internet แบบ offline
  • Network List Service
    ทำหน้าที่เป็นตัวระบุการติดต่อ Network และดูแลคุณสมบัติของ Network เมื่อมีการแปลื่ยนแปลงของไฟล์หรือโปรแกรมใน Network ก็จะแจ้งให้ทราบ
  • Portable Device Enumerator Service
    ดูแลการถ่ายโอนข้อมูลไฟล์ Media ในอุปกรณ์ Removeable เช่น ไฟล์ Windows Media Player , รูปภาพ
  • Print Spooler
    เป็นตัวเก็บข้อมูลที่จะพิมพ์ไว้ก่อน ในกรณี Printer กำลังพิมพ์งานอื่นอยู่ เมื่อพิมพ์งานแรกเสร็จก็จะพิมพ์งานอื่นๆ ที่เก็บใน Print Spooler ต่อๆไป ทำให้คุณสามารถสั่งให้ Printer งานได้มาก
  • Distributed Link Tracking Client
    เป็น Service ที่ทำหน้าที่ ดูแลไฟล์ NTFS ที่อยู่ในเครื่องคุณกับเครื่องที่อยู่ในระบบเครือข่าย
  • Protected Storage
    ให้การป้องกันการจัดเก็บข้อมูลที่สำคัญ เช่น รหัสผ่านเพื่อป้องกันการเข้าใช้บริการโดยไม่ได้รับอนุญาต
  • Remote Access Connection Manager
    ทำหน้าที่ดูแลการต่อของ Dial-up และ VPN (Virtual Private Network)
  • Secondary Logon
    ช่วยให้สิทธิของยูสเซอร์คนอื่นๆ Log on เข้าระบบได้
  • Server
    เป็นตัวช่วยให้เครื่องแชร์ไฟล์และ Printer ในระบบ LAN
  • Shell Hardware Detection
    เป็นตัวช่วยให้วินโดวส์แสดงหน้าต่าง Auto Play ขึ้นมาเมื่อคุณเสียบอุปกรณ์ประเภท USB Drive, CD ,DVD ,Removable storage
  • Tablet PC Input Service
    เป็นตัวทำให้ใช้อุปกรณ์พวก Tablet PC , Pen
  • Themes
    ทำให้ Windows 7 ใช้ฟีเจอร์ Aero Glass , Theme ได้
  • · TCP/IP NetBIOS Helper
    ให้การสนับสนุนสำหรับ NetBIOS over TCP / IP (NetBT) เป็นการบริการ NetBIOS สำหรับผู้ใช้ในเครือข่าย ช่วยให้ผู้ใช้ไฟล์ร่วมกัน และการเข้าสู่ระบบเครือข่าย
  • Windows Search
    ข่วยการค้นหาไฟล์ อีเมล และเนื้อหาอื่นๆ
  • Remote Registry
    ช่วยให้ผู้ใช้ Remote จากที่คอมฯ เครื่องอื่นๆ เข้ามาแก้ไขการตั้งค่ารีจิสทรีในคอมฯ ได้
  • Windows Time
    ควบคุมดูแล การปรับวันที่และเวลา สำหรับเครื่อง Clients และ Services ในระบบเครือข่าย ทั้งหมด
  • Windows updates
    ช่วยตรวจสอบให้ดาวน์โหลดและติดตั้งโปรแกรมปรับปรุงสำหรับ Windows และโปรแกรมอื่นๆ
  • Windows firewall
    ช่วยปกป้องคอมฯ ของคุณโดยป้องกันผู้ใช้ไม่ได้รับอนุญาตจากการเข้าถึง เครื่องของคุณผ่านอินเทอร์เน็ตหรือเครือข่าย
  • Windows Image Acquisition
    เป็นตัวช่วยจัดการการติอต่อระหว่าง Scanner และ กล้องดิจิตอล

จากการปิดเซอร์วิสแบบปกติตามที่กล่าวมาข้างต้น ยังมีวิธีพิเศษที่จะสั่งให้ Services หยุดทำงานได้อีกโดยผ่านทาง Command Line
พิมพ์ cmd ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Ctrl + Shift + Enter เพื่อเปิดหน้าต่าง Command Line ด้วยสิทธิ Administrator พิมพ์คำสั่งดังนี้

  • คำสั่งยกเลิก Services

Net stop ชื่อของ Services ( ตัวอย่าง Net stop windows update)

  • คำสั่งสตาร์ท Services

Net start ชื่อของ Services ( ตัวอย่าง Net start windows update)

ข้อควรระวัง Services บางตัวมีความสำคัญมาก ซึ่งจะมีผลต่อระบบการทำงานของวินโดวส์ ด้วยเหตุนี้จึงขอให้อ้างอิงตามข้างบนที่ผมทำไว้เป็นหลักว่า Servicesใดที่สามารถปิดการทำงานได้ ถ้าไม่มั่นใจว่าจะมีผลกระทบต่อเครื่องคุณก็ให้ปล่อยให้มันทำงานต่อไป

จัดการการทำงานของ Process

จากเรื่อง Services แล้ว ถ้าไม่กล่าวถึง Processes ก็ไม่ได้เพราะ สองตัวนี้เป็นของคู่กันทำงาน

เหมื่อนกัน การทำงานกับวินโดวส์นั้น คุณสามารถที่จะเปลื่ยนแปลงระบบการทำงานของ Process ต่างๆ ได้ตามสถานะการที่คุณกำลังทำงานอยู่ ตัวอย่างเช่น ในขณะที่คุณกำลังทำงานเกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ดีวีดีด้วยโปรแกรมต่างๆ และขณะเดียวกันก็ต้องการที่จะเล่นอินเตอร์เน็ตด้วย แต่ปรากฎว่า Internet Browser ที่เคยทำงานได้เร็วกลับช้าเป็นเต่า สาเหตุที่เป็นเช่น นี้ก็เพราะว่าระบบของคุณจำเป็นต้องใช้เวลาในการประมวลผลส่วนใหญ่ไปกับ โปรแกรมแรก ในกรณีนี้คุณสามารถเปลื่ยนแปลงระบบทำงานดังกล่าวได้ 2 วิธี ได้แก่

Set Priority การจัดลำดับความสำคัญของงาน

  1. ให้กดคีย์ Ctrl+Shift+Esc หรือคลิกขวาที่ว่างๆบน Taskbar เลือกคำสั่ง Start Task Manager
  2. หน้าต่าง Windows Task Manager จะเปิดขึ้นมา ให้ไปที่แท็บ Processes ให้คลิกขวาที่ Process ที่คุณต้องการจะเร่งความเร็วแล้วเลือกคำสั่ง Set Priority ตามระดับความเร็วที่คุณต้องการ ซึ่งมีตั้งแต่สูงสุดคือ Realtime ไปถึงต่ำสุดคือ Low ในที่นี่แนะนำให้คุณกำหนดเป็น High สำหรับโปรแกรมที่คุณต้องการให้ทำงานเร็วขึ้น
    • Realtime
    • High
    • Above Normal
    • Normal
    • Below Normal
    • Low
  3. เมื่อคลิกเลือกแล้วจะมีหน้าต่างถามยืนยัน ให้คลิก Change priority ระบบจะรันโปรแกรมในความสำคัญที่คุณเลือ

image

Set Affinity… การให้ทำงานแบบหลาย Core ในกรณี CPU มีหลาย Core

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า CPU ไม่ว่าจะค่าย Intel หรึอ AMD ล้วนแต่ผลิตมาให้มี Core หรือ แกน หรือที่เราๆ เรียกกันว่า CPU หลายหัว ซึ่งมีประโยชน์ต่อการทำงานได้เร็วขึ้น เพราะช่วยกันประมวลผล

ในการปรับแต่งให้ CPU ช่วยกันประมวลผลหลาย Core วิธีเรียกคำสั่งก็เหมื่อนกันการตั้งการ Set Priority เพียงแค่คลิกเลือกคำสั่ง Set Affinity จะมีหน้าต่าง Process Affinity เปิดขึ้นมาคุณก็คลิกเลือกใส่เครื่องหมายถูก ตามจำนวน Core ที่คุณต้องการ แล้วคลิกปุ่ม OK

image


ปรับแต่ง Visual Effect

ทุกคนคงไม่ปฎิเสธว่า Windows 7นั้นถูกออกแบบรูปโฉมออกเน้นที่ความ สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นเมนูและทาสก์บาร์ที่เต็มไปด้วยสีสัน การลบเหลี่ยมมุมของหน้าต่างหรือแม้แต่ฟอนต์ตัวอักษรบนหน้าจอ และอื่นๆ อีกมากมาย แต่สิ่งสวยงามนั้นก็ต้องแลกกับประสิทธิภาพบางส่วนของเครื่อง หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เห็นความสำคัญของประสิทธิภาพการทำงานมากกว่าความสวยงาม ก็ขอแนะนำให้ปิดการทำงานของฟังก์ชั่นเสริมสวยต่างๆ ให้เหมาะสมกับเครื่องของคุณ

  1. พิมพ์ systempropertiesadvanced ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter
  2. หน้าต่าง System Properties จะเปิดขึ้นมา โดยแสดงผลที่แท็บ Advanced ให้คลิกปุ่ม Settings ภายใต้หัวข้อ Performance
  3. ที่หน้าต่าง Performance Options เราเลือกปรับแต่ง Visual Effect ได้ตามต้องการ โดยมีออปชันให้เลือก 4 ตัวเลือก คือ…
    • Let Windows choose what’s best for my computer เป็นค่าดีฟอลต์ของ Windows 7 โดยระบบจะวิเคราะห์ฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานอยู่ แล้วปรับ Visual Effect ที่เหมาะสมให้เอง เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งด้านการแสดงผลและประสิทธิภาพการทำงาน
    • Adjust for best appearance เป็นการปรับแต่งที่เน้นหนักไปในด้านการแสดงผลที่สวยงาม โดยเปิดคุณสมบัติ Visual Effect ทั้งหมด
    • Adjust for best performance เป็นการปรับแต่งที่เน้นประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดของคอมพิวเตอร์ โดยยกเลิก Visual Effect ทั้งหมด การแสดงผลจะดูเรียบๆ ไม่สวย แต่คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น
    • Custom ตัวเลือกนี้เปิดโอกาสให้คุณๆปรับแต่งการแสดงผลของ Visual Effect ในสไตล์ของคุณเอง คุณเลือกได้อย่างละเอียดว่า จะเปิดหรือปิดคุณสมบัติด้านการแสดงผลอะไรบ้าง

image

จากประสบการณ์การใช้งาน Windows 7 ผมแนะนำว่า เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดี ขณะที่การแสดงผลยังดูสวยงามพอเหมาะ ให้คุณเลือกรายการ Custom แล้วคลิกยกเลิกคุณสมบัติด้าน Visual Effects ดังต่อไปนี้…

  • Animate windows when minimizing and maximizing
  • Animations in the taskbar and Start Menu
  • Enable transparent glass
  • Fade or slide menus into view
  • Fade or slide ToolTips into view
  • Fade out menu items after clicking
  • Show shadows under windows
  • Slide open combo boxes

รับรองว่า คอมพิวเตอร์ของคุณจะยังแสดงผลอย่างสวยงามเหมือนเดิม ขณะเดียวกันก็ได้ความลื่นไหลของระบบเพิ่มขึ้นมาด้วย

ลบไฟล์ DLLs ออกจากหน่วยความจำ

ปกติ Windows จะเก็บไฟล์ DLLs ของโปรแกรมที่ถูกใช้ไว้ในหน่วยความจำเสมอ ซึ่งเป็นภาระสำหรับหน่วยความจำ (RAM) และเป็นตัวฉุดการทำงานของเครื่องให้มีประสิทธิภาพต่ำลง ซึ่งปัญหานี้คุณสามารถแก้ได้โดย

  1. เปิด Registry Editor ขึ้นมา แล้วไปตามที่คีย์ย่อยด้านซ้ายมือของหน้าต่าง ดังนี้
    HKEY_LOCAL_MACHINE\SOFTWARE\Microsoft\Windows\CurrentVersion\Explorer\
  2. คลิกขวาที่ คีย์ Explorer เลือก New > Key ให้ตั้งชื่อเป็น AlwaysUnloadDLL
  3. แล้วดูที่หน้าต่างขวามือ ให้ดับเบิลคลิกที่คีย์ Default
  4. ที่หน้าต่าง Edit String ให้เปลี่ยนตัวเลขที่ Value data: จาก 0 ให้เป็น 1
  5. กดปุ่ม OK ปิด Registry แล้วรีสตาร์ทหนึ่งครั้งเพื่อให้ค่าที่ตั้งมีผล

image

ปรับแต่ง Windows 7 ให้เบาเครื่องวิ่งฉิ่วดังใจ

ปรับแต่ง Windows 7 ให้เบาเครื่องวิ่งฉิ่วดังใจ (ตอนที่ 1)


Windows 7 ด้วยพื้นฐานจะเป็น Windows ที่จัดว่าสวยงาม ทำงานได้รวดเร็ว เรียกว่าเป็น Windows ที่น่าใช้กว่า Windows อื่นๆ ที่ผ่านมา แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกับ Windows อื่นๆ คือเมื่อเริ่มใช้มันก็เร็วทันใจ แต่เมื่อใช้ไปนานๆเข้า ทั้งการติดตั้งโปรแกรม การ Uninstall โปรแกรมบ่อยครั้ง การเล่นอินเตอร์เน็ต และอีกหลายๆ อย่าง ก็จะเป็นตัวทำให้ Windows ของคุณ เริ่มทำงานอึดขึ้น ช้าไม่ทันใจมันหน่วงๆ เครื่อง ทิปนี้จะมาแนะนำการกำจัดสิ่งที่ทำให้ Windows 7 ของคุณทำงานช้า ให้มาทำงานรวดเร็ว เหมื่อนเดิม เมื่อติดตั้งใหม่ๆ โดยที่ไม่ต้องไปติดตั้งโปรแกรมประเภทยูทิลิตี้อื่นๆ มาช่วยให้หนักเครื่องเข้าไปอีก

ทิปที่จะมาแนะนำคุณๆ ในที่นี่ผมจะแบ่งเป็นตอนๆ ทั้งหมด 3 ตอน มาเริ่มตอนที่แรกเลยครับ

1. เพิ่มความเร็วใน การเปิดและปิดเครื่อง

การลบ Prefetch Cache

การปรับแต่งขั้นตอนบูตของวินโดวส์จะช่วยให้วินโดวส์เริ่มต้นทำงานเร็ว ขึ้น Prefetch Cache ที่เก็บไว้ที่ วินโดวส์เรียกมาใช้ ตอนบูตและตอนทำงานปกติ แต่เมื่อใช้ไปนานๆ เข้าเจ้าแคชที่ว่านี้ก็ขยายใหญ่ขึ้น ทำให้วินโดวส์อ่านไฟล์แคชนี้นานขึ้น ฉะนั้นผมแนะนำให้เข้าไปลบข้อมูลในโฟลเดอร์นี้เป็นประจำเดือนละ 1-2 ครั้ง เพื่อให่วินโดวส์ทำงานได้เร็วขึ้น ส่วนวิธีการเข้าถึงก็ไม่ยาก

ให้พิมพ์ c:\windows\prefetch ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter ตัว Windows Explorer ก็จะเปิดมาที่โฟลเดอร์ Prefetch ให้กดคีย์ Ctrl+A เลือกไฟล์ทั้งหมดแล้วกด Delete เพื่อลบไฟล์ คุณไม่ต้องกังวลว่าจะมีผลกระทบต่อการทำงานของเครื่อง


ควบคุมการใช้ Prefetch ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด

จากการที่แนะให้ลบ Prefetch Cache นั้น เรายังสามารถควบคุมการใช้ Prefetch Cache ให้ได้ประสิทธิภาพได้อีก โดยใช้วิธีตั้งค่าที่ Registry

1. ให้พิมพ์ regedit ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter เพื่อเปิด Registry Editor ขึ้นมาทำงาน
2. ไปตามคีย์ย่อยในหน้าต่างด้านซ้ายมือ HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control\Session Manager\Memory Management\PrefetchParameters
3. ให้ดูที่หน้าต่างด้านขวามือหาคีย์ EnablePrefetcher ซึ่งเป็นตัวบอกสถานภาพการทำงานของ Prefetch Cache คุณสามารถเปลี่ยนค่าให้เหมาะสมกับเครื่องได้โดยดับเบิลคลิกที่คีย์นี้ จะมีหน้าต่าง Edit DWARD Value ให้คุณใส่ตัวเลขที่ช่อง Value data: ซึ่งค่าตัวเลขนี้เป็นตัวกำหนดการทำงานของ Prefetch ส่วนความหมายของตัวเลขต่างๆ คือ

0- ยกเลิกการทำงาน

1- สำหรับการทำงานโปรแกรมต่างๆของวินโดวส์เท่านั้น

2- สำหรับการ Boot เท่านั้น

3- สำหรับการทำงานโปรแกรมต่างๆของวินโดวส์และการ Boot (แนะนำค่านี้เพื่อให้ระบบทำงานแบบประสิทธิภาพที่ดี)


Defragment Boot File

นอกจากการปรับแต่ง Prefetch แล้วคุณสามารถเพิ่มความเร็วในการบูตเครื่องได้อีกวิธีหนึ่ง คือการ Defragment Boot file หรือการจัดระเบียบข้อมูลสำหรับการบูต วิธีทำง่ายๆ ครับ

1. ให้พิมพ์ cmd ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Ctrl + Shift + Enter เพื่อเปิดหน้าต่าง Command Line ในสิทธิ Administrator
2. พิมพ์คำสั่ง defrag -b %SystemDrive% แล้วกดคีย์ Enter… Windows 7 จะทำการ Defragment เมื่อทำเสร็จแล้ว เวลาบูตเครื่องจะช่วยลดระยะเวลาบูตให้น้อยลง เนื่องด้วยไฟล์ระบบได้จัดการเรียงตัวกันอย่างต่อเนื่อง


ลดโปรแกรมในกลุ่ม Auto Start

คุณที่ใช้วินโดวส์จะอยู่จักTaskbar ที่อยู่บริเวณถัดจากตัวเลขบอกเวลามุมขวาของจอ จะเป็นที่รวมตัวของไอคอนต่างๆของโปรแกรมที่กำลังทำงานอยู่โดยวินโดวส์จะ เรียกพวกมันขึ้นมาโดยอัตโนมัติในระหว่างบูตเครื่อง มีโปรแกรมจำนวนมากยกตัวอย่าง เช่น QuickTime, Real Player, PowerDVD เป็นต้น การมีไอคอนอยู่ใน Taskbar มากๆ ไม่ได้ทำให้ดูเท่ดูดีเลย มันดูรกตาแล้ว ยังไปกินหน่วยความจำในเครื่องอีก ผมขอแนะนำให้คุณลองตรวจสอบโปรแกรมเหล่านี้ ว่ามีความจำเป็นแค่ไหน ถ้าไม่จำเป็นก็เอามันออกไปบ้างครับ วิธีการก็ตามนี้

1. พิมพ์ msconfig ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter
2. ที่หน้าต่าง System Configuration ให้ไปที่แท็บ Startup ซึ่งจะมีรายชื่อโปรแกรมที่ถูกเรียกมาพร้อมกับวินโดวส์อยู่ วิธีปิดการทำงานของพวกนี้ คือคลิกยกเลิกเครื่องหมายถูกหน้าชื่อโปรแกรมที่ไม่ต้องการให้ Auto Start พร้อมวินโดวส์ เสร็จแล้วคลิก OK เพื่อรีสตาร์ทเครื่องใหม่ เพื่อให้สิ่งที่คุณปรับแต่งเป็นผล


ข้อควรระวัง การเลือกปิดการทำงานในกลุ่ม Auto Start ควรหลีกเลี่ยงการยกเลิกในโปรแกรมที่ไม่แน่ใจ เพราะอาจทำให้ระบบทำงานผิดผลาดได้ ควรปิดเฉพาะโปรแกรมที่คุณรู้จักเท่านั้น เช่น Adobe Gamma Leader, Acrobat Assistant, QuickTime, PowerDVD, WinZip

เพิ่มความเร็วในการ ShutDown

ปกติวินโดวส์ทั้งหลายในช่วงเวลา Shutdown จะมีช่วงเวลารอค่อยให้โปรแกรมหรือ Services ต่างๆ ปิดตัวลง แล้วจึงปิดเครื่อง แต่คุณรู้สึกเวลารอค่อยที่เครื่องจะ Shutdown เรียบร้อยมันกินเวลานาน

ทิปนี้สามารถช่วยคุณได้ โดยจะมาแนะนำการตั้งค่าเวลาในการ Shutdown ใหม่ โดยมีวิธีทำดังนี้…

1. 1พิมพ์ regedit ลงในช่อง Search ของ Start Menu แล้วกดคีย์ Enter
2. 2หน้าต่าง Registry Editor จะเปิดขึ้นมาให้คลิกเข้าไปตามคีย์ย่อยในหน้าต่างด้านซ้ายมือดังนี้
HKEY_LOCAL_MACHINE\SYSTEM\CurrentControlSet\Control
3. ที่หน้าต่างด้านขวามือให้ดับเบิลคลิกที่คีย์ WaitToKillServiceTimeout หน้าต่าง Edit String จะเปิดขึ้นมา พิมพ์ค่าตัวเลขลงในช่องว่าง Value data: โดยตัวเลขมีค่าระหว่าง 2000 – 20000 (2 – 20 วินาที) ปกติ Windows 7 จะตั้งค่าดีฟอลต์ไว้ที่ 12000 คุณสามารถทดลองใส่ค่าตัวเลขให้ช้าหรือเร็ว ให้ได้ค่าที่เหมาะสมกับเครื่องของคุณ โดยสังเกตจากการ Shutdown ที่เร็วขึ้น
4. คลิกปุ่ม OK แล้วปิด Registry Editor

จบตอนแรกครับสำหรับการทำให้วินโดวส์ของคุณเบาเครื่องวิ่งฉิ่วดังใจ ไม่ทำงานเชื่องช้า ตอนต่อไปจะให้ชื่อตอนว่า “ทำอย่างไรให้ Windows 7 มีประสิทธิภาพมากขึ้น ”

ASUS Core Unlocker

ASUS Core Unlocker
Unlock True Core Performance Intelligently


สวัสดีชาวโอเวอร์คล๊อกโซนกันอีกเช่นเคยอย่างเป็นประจำ ช่วงนี้ผมอาจจะที่เริ่มหมดๆมุขที่จะมานั่งเขียนบทความกันไปซัก
เล็กน้อย เขียนหลายๆวันติดต่อกันบางทีนั่งอ่านไปอ่านมารู้สึกว่าทำไมมันคล้ายๆกันหมด ก็มิทราบนั้นแหละ วันนี้เลยทำให้ผมได้อยากมา
เขียนอะไรที่มันแหวกแนวจากปกติที่ผมนั่งเขียนอยู่ทุกวัน ซึ่งวันนี้คิดซะว่าเขียนฉลองรอวันเปิดตัวของซีพียู AMD Phenom II X6
และ Phenom II X4 900T Series ที่อาจจะทำให้ท่านที่ติดตามสนใจเรื่องราวของซีพียูนั้นรอคอยกันมาก อาจจะไม่ใช่เรื่องที่จะมา
สนใจกับทางด้านประสิทธิภาพ (เพราะว่ายังไงถึงวันเปิดตัวจะมีผลการทดสอบอย่างเป้นทางการได้ยังไงล่ะ) แต่สิ่งที่น่าสนใจของซีพียู
AMD Phenom II X4 900T Series เพราะว่ามันสามารถปลดล๊อกคอร์ให้มาเป็น AMD Phenom II X6 1000T Series ได้
นั้นสิครับ ซึ่งเมนบอร์ดจากทาง ASUS ก็สามารถเปิดคอร์ของซีพียู AMD ตั้งแต่ยุค Phenom II ออกมาใหม่ๆได้แล้ว การพัฒนาใน
ความสามารถในด้านการเปิดคอร์ที่หลบซ่อนไว้ในซีพียู AMD ทาง ASUS ก็ได้พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ จนมาถึงเมื่อเร็วๆนี้ที่ AMD ได้
มีการออกชิพเซ็ต AMD 800 Series ที่ใช้ผนวกกับเซาบริจน์ SB 800 Series ที่ทาง AMD ได้ตัดฟังก์ชั่น ACC ที่เป็นตัวที่จะ
ช่วยทำให้สามารถเปิดคอร์ซีพียูได้ออกไป แต่ว่าการพัฒนาของทาง ASUS ก็ยังไม่หยุดอยู่กับที่ เพื่อเอาใจนักเสี่ยงดวงชอบลุ้นในการ
ปลดล๊อกคอร์ของซีพียูที่ปิดไว้ในช่วงสายการผลิตลงไป ซึ่งทาง ASUS ได้ใช้ชื่อฟังก์ชั่นปลดล๊อกคอร์ว่า ASUS Core Unlocker
ที่มีประสิทธิภาพและช่วยอำนวยความสะดวกในการเปิดคอร์ได้ง่ายมากๆ โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ในการปรับแต่งไบออสเลย ก็ยัง
คงสามารถเปิดคอร์ของซีพียูได้ดุจผู้ที่มีความรู้ในการปรับแต่งในไบออสได้เลยนั้นแหละครับ



AMD Processor Model can be unlocked

สำหรับซีพียู AMD ที่จะสามารถปลดล๊อกคอร์และแคชระดับสามที่ถูกซ่อนเอาไว้ขึ้นมาได้ ก็จะเป้นซีพียูแบบซ๊อกเก็ต AM3
ล้วนๆ ซึ่งพื้นฐานซีพียูที่ยอดนิยมก็คือ Phenom II X4 Codename Deneb การปลดล๊อกคอร์ก็สามารถทำได้จาก Phenom II
X3 700 Series และ Phenom II X2 500 Series ส่วนการปลดล๊อกแคชระดับสามจาก 4 MB มาเป็น 6 MB ก็จะมีเพียงแต่ตัว
Phenom II X4 800 Series ซึ่งในตระกูลอื่นอย่าง Athlon II X3 ก็สามารถปลดล๊อกคอร์และแคชระดับสามได้ด้วย เพียงแต่ว่าคง
ต้องศึกษารหัสบนตัวกระดองซีพียูกันก่อนว่าสามารถปลดล๊อกได้แต่คอร์หรือสามา รถปลดล๊อกแคชระดับสามได้ด้วย น้องตัวเล็กสุดที่มี
ชื่อเล่นติดปากว่า "สมพร" ในรุ่น Semporn LE-140 ก็สามารถปลดล๊อกคอร์ให้มาเป็น Athlon II X2 ได้อีก แต่ช่วงนี้กระแสอาจจะ
หายไปสำหรับน้องสมพร ก็คงมาจากราคาค่าตัวของ Athlon II X2 สูงกกว่าเพียงนิดเดียวจนไม่คุ้มที่จะมาเสี่ยงดวงนั้นแหละครับ แต่
ว่าซีพียูตระกูล Phenom II X4 900T Series ที่มีพื้นฐานมาจาก "เทอร์บาน" Phenom II X6 ก็เป็นตระกูลใหม่ล่าสุดที่สามารถ
ทำการปลกล๊อกคอร์ได้ ซึ่งสิ่งที่ผมโม้ๆมาข้างบนนั้น ถ้าผมบอกว่าผมได้ลองปลดล๊อกคอร์และแคชระดับสามกับซีพียู AMD S.AM3
ที่สามารถปลดล๊อกได้ โดยใช้เมนบอร์ด ASUS ที่มีฟังก์ชั่น Core Unlocker มาทั้งหมดแล้วจะเชื่อผมมั๊ยเนี่ย


ภาพในด้านซ้ายมือคือโครงสร้างภายในของ AMD Phenom II X6 ที่ในขั้นตอนการผลิดถ้ามีการปิดคอร์ที่มีความผิด
พลาดให้มาเหลือเป็น Phenom II X4 900T Series ในภาพซ้ายมือก็คงเป็นโครงสร้างยอดนิยมของ Phenom II X4 ที่ถูกปิด
ทั้งคอร์และแคชระดับสาม จนมาเหลือต่ำสุดเป็น Athlon II X3 ซึ่งงานนี้ถ้าเปิดได้มาเป็น Phenom II X4 ก็คุ้มสุดๆเลยทีเดียวครับ



ASUS Core Unlocker

ASUS Core Unlocker โดยในรุ่นที่ใช้ชิพเซ็ต AMD 800 Series ผนวกกับเซาบริจน์ SB800 Series เป็นการ
ออกแบบและใส่ชิพเพิ่มเติมลงไปเพื่อให้สามารถปลดล๊อกคอร์ได้ ซึ่งในเมนบอร์ดรุ่นที่ใช้ชิพเซ็ต AMD 800 Series ทาง ASUS ก็
ได้ใส่ลูกเล่นเพิ่มเข้าไปอีกจะสามารถทำการปลดล๊อกคอร์โดยทางการเปิดสวิทที่ อยู่บนตัวเมนบอร์ดก็เรียบแล้วแล้ว แต่เมนบอร์ดในรุ่นที่
ใช้ชิพเซ็ต AMD 700 Series ผนวกกับเซาบริจน์ SB850 หรือ 810 ก็มีพื้นฐานมาจากฟังก์ชั่น ACC ของทาง AMD แต่ว่าทาง
ASUS ก็ไม่ได้ใส่แค่ฟังก์ชั่น Core Unlocker เล่นๆอย่างแน่นอนครับ เพราะว่าความง่ายในการปลดล๊อกคอร์นั้นง่ายเพียงใช้ปลาย
กดปุ่มบนคีย์บอร์ด ก็สามารถปลดล๊อกคอร์ได้ไม่ต่างจากการเปิดฟังก์ชั่นเองในไบออส รวมไปถึงความฉลาดของฟังก์ชั่น ASUS Core
Unlocker ที่จะปรับแต่งทุกอย่างให้ได้ประสิทธิภาพสูงที่สุดโดยมีความเสถียรภาพมากที่ สุด ตามความสามารถแอบแฝงของซีพียูที่
ใส่ลงไป


เมนบอร์ดรุ่นต่างๆของทาง ASUS ที่รองรับฟังก์ชั่น Core Unlocker ในรุ่นเก่า ก็สามารถอัพเดทไบออสให้เป็นตัวล่าสุดก็ได้แล้ว


ในกรณีจากการปลดล๊อกซีพียู AMD Phenom II X2 ให้มาเป็น Phenom II X4 แต่ว่าเมื่อทำการปลดล๊อกคอร์เป็นสี่คอร์
แล้ว แต่เนื่องจากว่าซีพียูตัวนั้นไม่สามารถทำงานได้อย่างมีเสถียรภาพที่ 4 คอร์ได้ แต่ว่าฉลาดของฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker
นั้นจะจัดการปิดคอร์ที่ทำงานไม่ไหวจริงๆลงไปเหมือนเดิม ซึ่งก็จะทำให้การปลดล๊อก Phenom II X2 ได้เพิ่มมาอีก 1 คอร์ โดยที่ไม่
ต้องเสียเวลามานั่งปรับในไบออสเลยด้วยครับ ถือว่าเป็นการช่วยเพิ่มความคุ้มค่าได้อีกทาง เพราะอย่างน้อยก็เสียเงินจ่ายซื้อ Phenom
II X2 แต่ได้ Phenom II X3 มาใช้งาน




How to Unlock Core By ASUS Core Unlocker


1. Use Hybird Switch Onboard

การปลดล๊อกคอร์โดยวิธีการโยกสวิทบนตัวเมนบอร์ดนั้นสามารถทำได้บนเมนบอร์ด ASUS ที่ใช้ชิพเซ็ต AMD 800 เท่า
นั้น ซึ่งสวิทของเมนบอร์ดรุ่น CrossHair IV จะแตกต่างจากรุ่นอีก จะไม่ได้เป็นสวิทแบบโยกสับลักษณะแบบนี้นะครับ แต่จะเป็นปุ่ม
กดลงไปแล้วมีไฟติดขึ้นมาแสดงให้ทราบว่าได้เปิดฟังก์ชั่น Core Unlocker อยู่ครับ ส่วนเมนบอร์ดรุ่นอื่นที่ใช้ชิพเซ็ต AMD 890
GX, 890FX, 880G และ 870 จะเป็นสวิทแบบเดียวกับในภาพข้างบน ซึ่งขั้นตอนการปลดล๊อกคอร์โดยวิธิการนี้ง่ายมาก ผมจะลำดับ
ขั้นตอนการปลดล๊อกคอร์เพื่อให้จะได้เข้าใจเวลาดูภาพ

1.เลื่อนสวิทของฟังก์ชั่น Core Unlocker ให้อยู่ในตำแหน่งเปิด จะมีไฟสีแดงแสดงว่าฟังก์ชั่นนี้พร้อมใช้งานแล้ว
2.ทำการกดปุ่มพาวเวอร์ของเครื่องท่าน เพื่อให้ระบบนั้นทำงาน
3.คอยดูที่โลโก้ไบออสที่จะแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้ซีพียูของท่านนั้นได้ถูกปลดล๊อกคอร์เรียบร้อยแล้ว
4.เข้าระบบปฏิบัติการ
5.สามารถใช้งานได้ทันที



2. Press "4" On Keyboard

วิธีการใช้งานฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker วิธีนี้จะเป็นวิธีที่สามารถทำได้กับเมนบอร์ด ASUS ทุกรุ่นที่มีฟังก์ชั่น
Core Unlocker (ถ้าไม่ได้ต่อคีย์บอร์ดก็ใช้ไม่ได้นะ) ซึ่งวิธีการใช้นั้นก็ง่ายๆสะดวกมากครับ เพียงแค่กดๆ ก็สามารถใช้งานฟังก์ชั่นนี้
เท่าที่ผมอ่านในเว็บบอร์ดเวอร์คล๊อกโซนในห้อง AMD ก็เจอสมาชิกหลายท่านเปิดใช้งานฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker ไปโดย
ไม่รู้ตัวเลยก็มี คงจะตกใจกันมากเลยแหละครับ เพราะว่าซื้อ Phenom II X2 มาแต่มันแรงแบบ Phenom II X4 วิธีการเปิดใช้งาน
ฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker โดยการกดปุ่มบนคีย์บอร์ดผมจะอธิบายเพื่อให้เข้าใจเมื่อดูภาพข้างบนด้วยนะ ครับ

1. ทำการกดปุ่มพาวเวอร์เหมือนกับการเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์โดยปกติ
2. เมื่อโลโก้ไบออสแสดงขึ้นมา ให้ทำการกดปุ่มเลข "4" บนคีย์บอร์ด เพื่อเป็นการสั่งเปิดใช้งานฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker
3. หลังจากกดสั่งเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Core Unlocker แล้ว เมนบอร์ดบางรุ่นจะดับเหมือนปิดแล้วเปิดใหม่ แต่บางรุ่นจะเหมือนรีเซ็ต
4. คอยดูที่โลโก้ไบออสที่จะแจ้งให้ทราบว่า ขณะนี้ซีพียูของท่านนั้นได้ถูกปลดล๊อกคอร์เรียบร้อยแล้ว
5. เข้าระบบปฏิบัติการ
6. สามารถใช้งานได้ทันที



3. Setup in BIOS

การปลดล๊อกคอร์วิธีสุดท้าย โดยการเข้าไปปรับแต่งในไบออส แต่เมื่อมีวิธีการเปิดใช้งานฟังก์ชั่น Core Unlocker โดย
สองวิธีข้างต้นแล้ว การเปิดในไบออสนั้นผมจึงขอข้ามไป ซึ่งการปรับในไบออสนั้นคงจะเหมาะกับผู้ที่มีความรู้ในการปรับแต่งไบออส
ในกรณี้ที่หลังจากการปลดล๊อกเป็นสีคอร์แล้วไม่เสถียรจนระบบไม่ยอมปลดล๊อก เป็นสี่คอร์ให้ แต่อยากจะลองฝืนปลดเป็นสี่คอร์ให้ได้ ก็
คงต้องอาศัยการปรับแต่งลักษณะแบบการโอเวอร์คล๊อกเลยครับ ซึ่งมันไม่มีหลักการตายตัวซะทีเดียว ในจุดนนี้ผมเลยขอพูดคร่าวๆก็พอ
เนื่องจากว่า วิธีการใช้งานทั้งสองวิธีข้างต้นนั้น ถ้าซีพียูมีความเสถียรมรการปลดล๊อกคอร์พอ ก็ไม่จำเป็นต้องปรับแต่งอะไรเพิ่มเติมกัน
อีกต่อไปแล้ว ขนาดผมเดียวนี้ยังปลดล๊อกคอร์ตามแบบสองวิธีข้างบนเลยครับ




Performance After Unlock Core By ASUS Core Unlocker

ในเมื่อวันนี้เป็นบทความเกี่ยวกับฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker จึงต้องมีการทดสอบเพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตก
ต่างของซีพียูแบบเดิมๆสองคอร์ตามสเป็ค เปรียบเทียบกันหลังการปลดล๊อกคอร์โดยใช้ฟังก์ชั่น ASUS Core Unlocker ให้ได้ชม
กันอย่างพอหอมปากหอมคอด้วยครับ


ซีพียูที่ใช้ก็เป็นรุ่นยอดนิยมที่ใช้ทำการปลด
ล๊อกคอร์มากที่สุดในช่วงเวลานี้กับ
Phenom II X2 555 Black Edition
ซึ่งซีพียูตัวนี้ ก็วัดดวงหยิมมาจากตัวที่
วางขายหน้าร้าน


เมนบอร์ดรุ่นแรกของทาง ASUS ทีเป็นชิพเซ็ต AMD 800
Series ผนวก SB850 โดยใช้ไบออสตัวล่าสุดที่รองรับการ
ปลดล๊อกคอร์ของ Phenom II X4 900T Series แล้วครับ


เมโมรีก็วิ่งไม่ถึงระดับบัส 1800 Mhz แต่ว่าอย่างน้อยก็ขอใช้
ทิมมิ่งที่ 7-8-7-21 ก็แล้วกัน เห็นแบบนี้แล้วมีความสุขจังเลย


กราฟฟิกการ์ด ASUS EAH5830 DriectCU ตัวแรง













ASUS Core Unlocker

Special Thanks : ASUSTek Inc.